พลังงานไฮโดรเจนกับบทบาทในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

ในปี 2025 แก๊สไฮโดรเจน (Hydrogen) กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นหนึ่งในทรัพยากรสำคัญที่ได้รับการยอมรับในวงการอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นประเด็นหลักระดับโลก ไฮโดรเจนไม่เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงาน แต่ยังเริ่มแสดงศักยภาพที่ชัดเจนในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งเป็นที่น่าจับตามอง ความหลากหลายของการประยุกต์ใช้และความสามารถในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทำให้ไฮโดรเจนกลายเป็นตัวแปรสำคัญในอนาคตของอุตสาหกรรมนี้

แนวโน้มและความเปลี่ยนแปลงในปี 2025

  1. ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจน

การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตไฮโดรเจนอย่างเช่นการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (Electrolysis) ซึ่งอาศัยพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ได้ช่วยลดต้นทุนการผลิตลงอย่างมีนัยสำคัญ การผลิตไฮโดรเจนแบบ “สีเขียว” (Green Hydrogen) ที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนในหลายประเทศ ความก้าวหน้าด้านนี้ช่วยให้ไฮโดรเจนสามารถถูกนำมาใช้ได้ในวงกว้างในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตที่ต้องการพลังงานสะอาดและมีประสิทธิภาพ

  1. การบูรณาการไฮโดรเจนในกระบวนการผลิต

ไฮโดรเจนถูกนำมาใช้ในกระบวนการผลิตที่ต้องการความร้อนสูง เช่น การหลอมโลหะมีค่า และการพัฒนาวัสดุใหม่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ความสามารถในการผลิตพลังงานความร้อนโดยไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ทำให้ไฮโดรเจนเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตที่ใช้ไฮโดรเจนยังช่วยเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และลดของเสียในกระบวนการผลิต

  1. การขยายตลาดและการลงทุนในไฮโดรเจน

การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านไฮโดรเจนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประเทศต่าง ๆ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา กำลังมุ่งเน้นการสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนและสถานีจ่ายเชื้อเพลิงไฮโดรเจน เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการประยุกต์ใช้ไฮโดรเจนในตลาดโลก

ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

  1. การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์

อุตสาหกรรมอัญมณีกำลังเปลี่ยนไปสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ไฮโดรเจนถูกนำมาใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการหลอมโลหะมีค่า เช่น ทองคำ แพลตินัม และพาลาเดียม ซึ่งเป็นวัสดุสำคัญในเครื่องประดับ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนมากขึ้น

  1. การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง

ไฮโดรเจนยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัสดุใหม่ในอุตสาหกรรมอัญมณี เช่น วัสดุที่มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา และมีความเงางามสูง คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ และตอบโจทย์ความต้องการของตลาดระดับสูง นอกจากนี้ ไฮโดรเจนยังสามารถช่วยในการพัฒนาเทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบใหม่ ที่มีความทนทานและคุณภาพสูงกว่าเดิม

  1. การตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนำไฮโดรเจนมาใช้ในกระบวนการผลิตสามารถสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี แบรนด์ที่สามารถแสดงถึงความมุ่งมั่นในด้านสิ่งแวดล้อมจะได้รับการตอบรับอย่างดีในตลาด และช่วยสร้างความแตกต่างในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง

สรุป

ในปี 2025 พลังงานไฮโดรเจนกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ การพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมีนัยสำคัญ ไฮโดรเจนไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งพลังงานสะอาด แต่ยังเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมในอุตสาหกรรมที่ต้องการความยั่งยืน การลงทุนในไฮโดรเจนจึงไม่เพียงแค่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังสร้างโอกาสในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

พลังงานสีเขียว Green Energy 2024


พลังงานสีเขียว (Green Energy) คือ พลังงานหรือแหล่งที่มาของพลังงาน ซึ่งมาจากวัตถุดิบ
ที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล เป็นต้น จัดเป็น
พลังงานสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดภาวะโลกร้อน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้พลังงานโดยใช้พลังงานให้น้อยลงต่อหน่วยผลิตที่เพิ่มขึ้น และลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต
ทั้งหมด ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil) ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ
เป็นต้น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงก่อให้เกิดก๊าซพิษที่เป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดภาวะโลกร้อน เช่น
ฝุ่นละออง คาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
อ้างอิง : “พลังงานสีเขียว” พลังงานทางเลือกใหม่สำหรับอาคารเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทำไมจึงควรหันมาใช้พลังงานสีเขียว
เป็นเป้าหมายในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และตรงกับมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมรวมถึงมาตรฐานสากลสำหรับการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรให้เกิดผล
อุตสาหกรรมในปัจจุบันหันมาใช้ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตโดยใช้พลังงานทดแทน เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่มีศักยภาพสำหรับการใช้งานต่าง ๆ รวมถึงการขนส่ง และกระบวนการทางอุตสาหกรรมถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาสภาพแวดล้อม เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก บรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมแนวทางปฏิบัติด้านพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต
เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้หันมาใช้พลังงานทดแทน และใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีความความปลอดภัย และลดการผันผวนที่เกิดขึ้นกับแหล่งพลังงานธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังมีการวางนโยบายพลังงานสีเขียวของไทยในการผลักดันและสนับสนุนการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงสะอาดควบคู่กับการผลิตพลังงานจากโรงไฟฟ้าฐาน และการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาช่วย เช่น ไฮโดรเจน การกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ระบบสมาร์ทกริด (Smart Grid) โดยมีการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) ที่ กกพ.จะกำหนดต่อไป ผู้ผลิตที่เลือกใช้ไฟฟ้าสีเขียวจะได้ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ซึ่งแสดงการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นรายชั่วโมงตามมาตรฐานสากล สามารถนำไปใช้ “ยืนยัน” ต่อประเทศปลายทางว่าผู้ผลิตได้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวจริง ใบรับรอง REC จึงเปรียบเสมือน “ตัวช่วย” สำหรับผู้ผลิตในการปฏิบัติตามเงื่อนไข CBAM หรือข้อกีดกันทางการค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกระดับสากล
อ้างอิง : กระทรวงพลังงาน “นโยบายและทิศทางพลังงานสีเขียวของประเทศไทย”

ความยั่งยืนคืออะไร ทำไมหลายธุรกิจจึงให้ความสำคัญ

ความยั่งยืน คือ การพัฒนาและการรักษาสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถดำรงสภาพอยู่ได้ต่อไปในอนาคตโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคนรุ่นหลังภายภาคหน้า โดยเกี่ยวข้องในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความเสมอภาคทางสังคม และด้านเศรษฐกิจ หลายธุรกิจจำนวนมากจึงให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เนื่องจากปัจจุบันจะสังเกตได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีความแปรปรวนสูง ผิดฤดูกาลมากขึ้น อีกทั้งน้ำทะเลสูงขึ้นทุก ๆ ปี ผลพวงทั้งหมดนี้มาจากผลกระทบจากมนุษย์ซึ่งมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การใช้พลังงานไฟฟ้า และธุรกิจจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานของโลกสูงขึ้น เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากขึ้น

เพื่อให้สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงได้มีการจัดประชุม COP (Conference of the Parties) เป็นการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อหารือประชุมตั้งเป้าหมายใหญ่อย่าง “Net Zero” ที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2065 ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ให้พุ่งสูงเกินไป แม้จะดูเป็นเป้าหมายระยะยาวแต่เป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างมาก และจากการประชุม COP ประเทศไทยได้ประกาศว่า “จะเป็นประเทศมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี 2065” ขณะเดียวกัน “จะมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050” ตามการดำเนินแผนพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้โครงการด้านความยั่งยืนยังสามารถช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจต่อไป

อ้างอิง : https://www.setsocialimpact.com/Article/Detail/77643 

ธุรกิจจำนวนมากให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้

1. Consumer and Investor Demand: ผู้บริโภคจำนวนมากมีความยินดีที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่มีความยั่งยืน และนักลงทุนของบริษัทต่าง ๆ ให้ความสำคัญแนวคิดที่เกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน โดยไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ธุรกิจที่มี ESG ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขัน ศักยภาพของการเติบโตในระยะยาว และทัศนคติของคน Gen Z ที่มีต่อความยั่งยืนสามารถมีอิทธิพลต่อคนรุ่นเก่าได้เช่นกัน เนื่องจากพวกเขากลายเป็นกำลังผู้บริโภคที่สำคัญ ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และหลักปฏิบัติด้านจริยธรรมอาจมีอิทธิพลต่อแนวโน้ม ความคาดหวังของตลาดในวงกว้าง

2. Cost Reduction: การใช้แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนสามารถนำไปสู่การลดต้นทุนในระยะยาว เนื่องจากบริษัทสามารถประหยัดพลังงาน ทรัพยากร และการจัดการของเสีย

3. Brands Reputation and Competitive Advantage: ชื่อเสียงของแบรนด์ถือเป็นตัวชี้วัดว่าแบรนด์ของคุณมีคนพูดถึงในเชิงบวกที่มากขึ้น สามารถเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้ ทำให้ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิมไว้ได้มากกว่า เนื่องจากถูกมองว่ามีความรับผิดชอบต่อสังคมและมีความก้าวหน้าในอนาคต

4. Regulatory Compliance: เนื่องจากกฎระเบียบด้านความยั่งยืนมีความเข้มงวดมากขึ้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและบทลงโทษ

5. Social Responsibility: ความรับผิดชอบขององค์กรต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม (รวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการ) ที่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างโปร่งใส และมีจริยธรรม ดังนี้

  • ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงสุขภาพ และสวัสดิการของสังคม
  • คำนึงถึงความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • เป็นไปตามกฎหมาย และสอดคล้องกับการปฏิบัติตามแนวทางสากล
  • บูรณาการทั่วทั้งองค์กร และนำไปใช้กับองค์กรอื่นที่มีความสัมพันธ์กัน

โดยสรุป ความยั่งยืนถือเป็นรากฐานสำคัญในภูมิทัศน์ธุรกิจร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปสู่แนวทางปฏิบัติที่รับผิดชอบซึ่งสอดคล้องกับการพิจารณาทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม คำถามที่ว่า “ความยั่งยืนคืออะไร” ก้าวข้ามเพียงสิ่งแวดล้อมนิยม ครอบคลุมแนวทางแบบองค์รวมที่ธุรกิจนำมาใช้เพื่อความยั่งยืนและเจริญเติบโตในระยะยาว เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความยั่งยืนในหมู่ธุรกิจนั้นมีหลายแง่มุม จากจุดยืนเชิงกลยุทธ์ มันสอดคล้องกับความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว โดยนำเสนอความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่พัฒนาและภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบ การประหยัดต้นทุนผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการความเสี่ยงในโลกที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด ตอกย้ำถึงข้อได้เปรียบทางธุรกิจเชิงปฏิบัติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ตระหนักดีว่าความยั่งยืนไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นทางศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย 

การเลือกอย่างมีสติของลูกค้าควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ที่เพิ่มมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน ได้ยกระดับความยั่งยืนให้เป็นองค์ประกอบหลักของความรับผิดชอบขององค์กรด้วยการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนธุรกิจต่างๆ ส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นต่อค่านิยมที่สะท้อนจากฐานผู้บริโภคที่ชาญฉลาดและใส่ใจต่อสังคม ยกระดับชื่อเสียงของแบรนด์ และส่งเสริมความภักดี ท้ายที่สุดแล้ว วิถีสู่ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงกระแสเท่านั้น มันแสดงถึงนิยามใหม่ของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ เป็นความมุ่งมั่นต่อผลประโยชน์สามประการที่คำนึงถึงผู้คน โลก และผลกำไร ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ซับซ้อน การเปิดรับความยั่งยืนไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญสู่อนาคตระดับโลกที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกันมากขึ้น